วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คำถามท้ายบทที่1

คำถามท้ายบทที่ 1

1.คอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง พร้อมรูปประกอบ
ตอบ ประเภทของคอมพิวเตอร์การแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ได้แบ่งตามขนาดของระบบ แต่จะแบ่งตามลักษณะของข้อมูลที่ระบบนำมาประมวลผล ถ้าพิจารณาแล้วข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันโดยทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลประเภทไม่ต่อเนื่อง ( discrete data) และข้อมูลประเภทต่อเนื่อง (continuous data)ข้อมูลประเภทไม่ต่อเนื่องคือ ลักษณะของข้อมูลที่สามารถนับได้เป็นจำนวนทีแน่นอน นั่นคือ จะนับทีละ 1 หน่วยได้ เช่น จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จำนวนรถยนต์ในประเทศไทย ข้อมูลประเภทต่อเนื่อง ได้แก่ ข้อมูลที่ได้มาจากการวัด เช่น ความเร็วของรถยนต์ อุณหภูมิของร่างกายระบบคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปนั้นได้แก่ คอมพิวเตอร์ที่ทำงานกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่าคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอล ส่วนระบที่ทำงานกับข้อมูลแบบต่อเนื่องเรียกว่า คอมพิวเตอร์แอนะลอก และถ้านำระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอลกับแบบแอนะลอกรวมกันเรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด นอกจากนี้ระบบคอมพิวเตอร์ยังสามารถจำแนกได้ตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 2 ประเภท คือ คอมพิวเตอร์อเนกประสงค์ และคอมพิวเตอร์เฉพาะกิจคอมพิวเตอร์เฉพาะกิจคือ คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบและสร้างให้ทำงานเฉพาะอย่างเท่านั้นโดยไม่สามารถนำไปใช้งานชนิดอื่นได้ ส่วนมากจะเป็นคอมพิวเตอร์ใช้ในการควบคุม เช่นควบคุมระบบการจ่ายและจุดฉีดน้ำมันในรถยนต์ หรือใช้ในระบบนำวิถีของจรวด คอมพิวเตอร์อเนกประสงค์คือ ระบบที่ได้รับการออกแบบให้ประยุกต์ใช้งานได้อย่างนับไม่ถ้วน คือ ระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อต้องการใช้เครื่องทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน ก็สามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ แบ่งตามขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์
มักจะวัดกันตามขนาดความจุของหน่วยความจำหลักที่ใช้งาน (Main Memory) ซึ่งหน่วยวัดความจุอาจอยู่ในเทอมของกิโลไบต์ (Kilobyte หรือ KB) โดย 1 KB จะมีค่า = ไบต์ หรือ 1024 ตัวอักขระ (1 ไบต์ มีค่าเท่ากับ 1 ตัวอักขระ) ดังนั้น ถ้าคอมพิวเตอร์มีความจุ 10 K จะมีความหมายว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะสามารถเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำหลักได้ ไบต์ หรือเท่ากับ 10,240 ตัวอักขระนอกจากนี้ขนาดหน่วยความจำยังอาจมีหน่วยวัดอยู่ในเทอมของเมกะไบต์ (Megabyte หรือ MB หรือ M ) โดย1 MB = 1024 KB = 1024 X 1024 =1,048,576 ไบต์ (ตัวอักขระ)หรืออาจอยู่ในเทอมของจิกะไบต์ (Gigabyte หรือ GB) โดย 1 = 1024 MB = 1024 X 1024 X 1024 =1,073,741,824 ไบต์(ตัวอักขระ) เป็นต้น สามารถแบ่งได้ 5 แบบ ดังนี้
1.ไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วน ประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้นอักขระ
รูปภาพคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ

2. แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (Laptop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display :LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม
รูปภาพแล็ปทอปคอมพิวเตอร์

3. โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและเบากว่าแล็ปท็อป นำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อป

4. ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (Palmtop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่น เป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจดบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก

มินิคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัด ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบ
นำมาจาก
http://yalor.yru.ac.th/~nipon/Archi_STD43/chapter1/group_20/computer.html

2.คอมพิวเตอร์แบบฝังคืออะไร
ตอบ คอมพิวเตอร์แบบฝัง (embedded computer )เป็นคอมพิวเตอร์ที่ฝังในอุปกรณ์ต่าง ๆ นิยมนำมาใช้ทำงาน เฉพาะด้าน พิจารณาจากภายนอกจะไม่เห็นว่าเป็นคอมพิวเตอร์แต่จะ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของอุปกรณ์นั้นๆ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น เครื่องเล่นเกม ระบบเติมน้ำมันอัตโนมัติ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

นำมาจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=za-poy&month=02-2008&date=02&group=5&gblog=22

3.ข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ ข้อมูล(data) หมายถึงข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นตัวเลข ตัวอักษรหรือสํญลักษณ์ และข้อมูลที่นั้นต้องเป็นข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันที่สุด เช่น ที่อยู่ ปริมาณ คะแนน เป็นต้น
สารสนเทศ(Information) หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าว วิทยุ หนังสือ เป็นต้นและคำว่าสารสนเทศนี้จะมีความหมายหลากหลายตั้งแต่การใช้คำว่าสารสนเทศในชีวิตประจำวัน จนถึงความหมายเชิงเทคนิค
ข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกัน ข้อมูลหมายถึงข้อเท็จจริง ที่ได้จากการเก็บข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆ แต่สารสนเทศหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลเพื่อไปใช้ในการตัดสินใจต่อไป
เช่น ข้อมูล นักเรียนโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 มีจำนวน 150 คน
สารสนเทศ มีนักเรียนที่มาจากโรงเรียนอื่นๆ 20 คน เป็นนักเรียนเก่า 130 คน
นำมาจาก
http://gotoknow.org/blog/potatoppp/30336

4.VLSI คืออะไร มีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์อย่างไร
ตอบ คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร VLSI (Very Large-Scale Integrated Ciruit) เป็นการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นำมาจาก อ้างอิง http://www.vlsilab.polito.it/graphic/LucentTurboDecoder.jpg
เนื่องจากเวบที่ได้หามาเกิดการค้างไม่สามารถก๊อปไพล์ได้ครับ

5.นิสิตใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
ตอบ 1. ใช้เพื่อความบันเทิง
2. ใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลเช่น อ่านหนังสือพิมพ์
3. ใช้เพื่อศึกษาหาความรู้ในด้านการเรียนเพิ่มขึ้น
4. ใช้ในการเขียนโปรแกรมต่างๆๆ
* วันที่สืบค้น วันที่ 25 มิถุนายน 2551 เวลา 20.34 *
* แหล่งที่มามาจาก อินเตอร์เน๊ดเวบต่างๆที่ได้นำมาไว้ใต้ข้อของทุกข้อแล้ว *

คำถามท้ายบทที่ 1

คำถามท้ายบทที่ 1
1. คอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง พร้อมรูปประกอบ
ตอบ ประเภทของคอมพิวเตอร์การแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ได้แบ่งตามขนาดของระบบ แต่จะแบ่งตามลักษณะของข้อมูลที่ระบบนำมาประมวลผล ถ้าพิจารณาแล้วข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันโดยทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลประเภทไม่ต่อเนื่อง ( discrete data) และข้อมูลประเภทต่อเนื่อง (continuous data)ข้อมูลประเภทไม่ต่อเนื่องคือ ลักษณะของข้อมูลที่สามารถนับได้เป็นจำนวนทีแน่นอน นั่นคือ จะนับทีละ 1 หน่วยได้ เช่น จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จำนวนรถยนต์ในประเทศไทย ข้อมูลประเภทต่อเนื่อง ได้แก่ ข้อมูลที่ได้มาจากการวัด เช่น ความเร็วของรถยนต์ อุณหภูมิของร่างกายระบบคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปนั้นได้แก่ คอมพิวเตอร์ที่ทำงานกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่าคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอล ส่วนระบที่ทำงานกับข้อมูลแบบต่อเนื่องเรียกว่า คอมพิวเตอร์แอนะลอก และถ้านำระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอลกับแบบแอนะลอกรวมกันเรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด นอกจากนี้ระบบคอมพิวเตอร์ยังสามารถจำแนกได้ตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 2 ประเภท คือ คอมพิวเตอร์อเนกประสงค์ และคอมพิวเตอร์เฉพาะกิจคอมพิวเตอร์เฉพาะกิจคือ คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบและสร้างให้ทำงานเฉพาะอย่างเท่านั้นโดยไม่สามารถนำไปใช้งานชนิดอื่นได้ ส่วนมากจะเป็นคอมพิวเตอร์ใช้ในการควบคุม เช่นควบคุมระบบการจ่ายและจุดฉีดน้ำมันในรถยนต์ หรือใช้ในระบบนำวิถีของจรวด คอมพิวเตอร์อเนกประสงค์คือ ระบบที่ได้รับการออกแบบให้ประยุกต์ใช้งานได้อย่างนับไม่ถ้วน คือ ระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อต้องการใช้เครื่องทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน ก็สามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ แบ่งตามขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์
มักจะวัดกันตามขนาดความจุของหน่วยความจำหลักที่ใช้งาน (Main Memory) ซึ่งหน่วยวัดความจุอาจอยู่ในเทอมของกิโลไบต์ (Kilobyte หรือ KB) โดย 1 KB จะมีค่า = ไบต์ หรือ 1024 ตัวอักขระ (1 ไบต์ มีค่าเท่ากับ 1 ตัวอักขระ) ดังนั้น ถ้าคอมพิวเตอร์มีความจุ 10 K จะมีความหมายว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะสามารถเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำหลักได้ ไบต์ หรือเท่ากับ 10,240 ตัวอักขระนอกจากนี้ขนาดหน่วยความจำยังอาจมีหน่วยวัดอยู่ในเทอมของเมกะไบต์ (Megabyte หรือ MB หรือ M ) โดย1 MB = 1024 KB = 1024 X 1024 =1,048,576 ไบต์ (ตัวอักขระ)หรืออาจอยู่ในเทอมของจิกะไบต์ (Gigabyte หรือ GB) โดย 1 = 1024 MB = 1024 X 1024 X 1024 =1,073,741,824 ไบต์(ตัวอักขระ) เป็นต้น สามารถแบ่งได้ 5 แบบ ดังนี้


1.ไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้


1. คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วน ประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้นอักขระ



รูปภาพคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ

2. แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (Laptop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display :LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม

รูปภาพแล็ปทอปคอมพิวเตอร์
3. โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและเบากว่าแล็ปท็อป นำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อป






4. ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (Palmtop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่น เป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจดบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก





มินิคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร



เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัด ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบ
นำมาจาก
http://yalor.yru.ac.th/~nipon/Archi_STD43/chapter1/group_20/computer.html

2. คอมพิวเตอร์แบบฝังคืออะไร

ตอบ คอมพิวเตอร์แบบฝัง (embedded computer )เป็นคอมพิวเตอร์ที่ฝังในอุปกรณ์ต่าง ๆ นิยมนำมาใช้ทำงาน เฉพาะด้าน พิจารณาจากภายนอกจะไม่เห็นว่าเป็นคอมพิวเตอร์แต่จะ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของอุปกรณ์นั้นๆ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น เครื่องเล่นเกม ระบบเติมน้ำมันอัตโนมัติ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น



นำมาจาก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=za-poy&month=02-2008&date=02&group=5&gblog=22

3. ข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ ข้อมูล(data)หมายถึงข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นตัวเลข ตัวอักษรหรือสํญลักษณ์ และข้อมูลที่นั้นต้องเป็นข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันที่สุด เช่น ที่อยู่ ปริมาณ คะแนน เป็นต้น
สารสนเทศ(Information)หมายถึง
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าว วิทยุ หนังสือ เป็นต้นและคำว่าสารสนเทศนี้จะมีความหมายหลากหลายตั้งแต่การใช้คำว่าสารสนเทศในชีวิตประจำวัน จนถึงความหมายเชิงเทคนิค
ข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกัน ข้อมูลหมายถึงข้อเท็จจริง ที่ได้จากการเก็บข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆ
แต่สารสนเทศหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลเพื่อไปใช้ในการตัดสินใจต่อไป
เช่น ข้อมูล นักเรียนโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 มีจำนวน 150 คน
สารสนเทศมีนักเรียนที่มาจากโรงเรียนอื่นๆ 20 คน เป็นนักเรียนเก่า 130 คน
นำมาจาก
http://gotoknow.org/blog/potatoppp/30336

4. VLSI คืออะไร มีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์อย่างไร
ตอบ คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร VLSI (Very Large-Scale Integrated Ciruit) เป็นการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นำมาจาก อ้างอิง http://www.vlsilab.polito.it/graphic/LucentTurboDecoder.jpg
เนื่องจากเวบที่ได้หามาเกิดการค้างไม่สามารถก๊อปไพล์ได้ครับ

5.นิสิตใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
ตอบ 1. ใช้เพื่อความบันเทิง
2. ใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลเช่น อ่านหนังสือพิมพ์
3. ใช้เพื่อศึกษาหาความรู้ในด้านการเรียนเพิ่มขึ้น
4. ใช้ในการเขียนโปรแกรมต่างๆๆ

* วันที่สืบค้น วันที่ 25 มิถุนายน 2551 เวลา 20.34 *
* แหล่งที่มามาจาก อินเตอร์เน๊ดเวบต่างๆที่ได้นำมาไว้ใต้ข้อของทุกข้อแล้ว *


วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

งานที่1 เรื่องข่าวเกี่ยวกะคอมใหม่ๆๆ






การบ้านชิ้นที่ 1


- เตือน!!! พบ 3 ช่องโหว่ใหม่ใน Windows (Update)โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.thอัพเดต
- รายงานข่าวแจ้งว่า ไซแมนเทค (Symantec) ออกโรงเตือนผู้ใช้ให้ระวัง 3 ช่องโหว่ใหม่ที่น่ากังวลอย่างยิ่งในระบบปฏิบัติการ Windows (เวอร์ชันที่ติดตั้ง Service Pack 2 จะโดนหางเลขด้วยเหมือนกัน) โดยเฉพาะการค้นพบช่องโหว่ดังกล่าวในช่วงเวลาเช่นนี้เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่กำลังเพลิดเพลินกับการชอปปิ้งออนไลน์ ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ก็อาจจะไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนี้มากนัก ซึ่งสองในสามของช่องโหว่ที่พบจะสามารถนำไปใช้ในการติตดั้งโค้ดอันตรายอย่างเช่น สปายแวร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อได้โดยไม่ทันรู้ตัว และเข้าควบคุมการทำงานของเครื่องได้อย่างสมบูรณ์VenusTech Security Labs ได้รายงานเรื่องช่องโหว่ต่างๆ ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีแพตช์แก้ไขออกมาแต่อย่างใด ในขณะที่ไมโครซอฟท์ก็ยังไม่ยืนยันว่าช่องโหว่ดังกล่าวนั้นมีจริง อย่างไรก็ตาม ทางไซแมนเทคเชื่อว่า ความเสี่ยงที่ผู้ใช้จะโดนเล่นงานจากช่องโหว่ที่แจ้งในรายงานดังกล่าวค่อนข้าง “สูง” และควรจะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้ระบบปฏิบัติการให้ทราบช่องโหว่ที่พบจะอยู่ในคำสั่งต่างๆ ของฟังก์ชัน LoadImage ของ Windows ซึ่งใช้โหลดไอคอน เคอร์เซอร์ บิตแมพบนเดสก์ทอป และใช้ในโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ และอีเมล์ โดยผู้บุกรุกสามารถใช้งานช่องโหว่ดังกล่าวได้ง่ายมาก เพียงแค่ล่อให้เหยื่อเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่เตรียมไว้ หรือเปิดอีเมล์ HTML ที่มีภาพที่ซ่อนโค้ดอันตรายไว้ภายใน ซึ่งโค้ดที่ซ่อนอยู่จะสามารถทำงานได้โดยผู้ใช้ไม่ต้องโต้ตอบกับเว็บไซต์ หรืออีเมล์แต่อย่างใด ขอแค่รูปภาพที่ซ่อนโค้ดอันตรายถูกเปิดขึ้นมาดูเท่านั้นก็พอแล้วอีกช่องโหว่หนึ่งจะพบใน winhlp32.exe ที่ใช้สำหรับเปิดไฟล์ช่วยเหลือ (.hlp) ของ Windows โดยผลจากการดีโค้ดไฟล์ช่วยเหลือ(ของผู้ไม่หวังดี)ที่ผิดพลาดจะทำให้เกิดบัฟเฟอร์โอเวอร์โฟลว ซึ่งเปิดช่องให้ผู้บุกรุกแอบส่งโค้ดอันตรายเข้าไปในเครื่องของเหยื่อได้ สำหรับไฟล์ช่วยเหลือจากผู้ไม่หวังดีจะถูกส่งออกไปกับอีเมล์ หรือไม่ก็เปิดให้ดาวน์โหลดจากในเว็บไซต์สำหรับช่องโหว่ที่สาม จะเกิดจากการล่มการทำงานของกระบวนการ Kernel ANI (Automatic Number Identification) File Parsing และเป็นช่องโหว่ที่สามารถสร้างการโจมตีแบบ DoS (Denial of Service) ได้ เมื่อเหยื่อคลิก หรือเปิดไฟล์ ANI ของผู้ไม่หวังดี การใช้ช่องโหว่นี้จะสามารถส่งผ่านทางอีเมล์ และเว็บไซต์ ในส่วนของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการโจมตีในลักษณะนี้ก็คือ ระบบจะถูกล่ม และมีการรีสตาร์ทเครื่อง ทางด้านไซแมนเทคให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่องโหว่ที่สามนี้ใช้งานได้ง่ายมาก แค่ผู้ใช้เข้าไปชมเว็บไซต์ หรืออีเมล์ ก็เพียงพอที่จะสามารถเปิดการโจมตีได้แล้วตราบใดที่ยังไม่มีแพตช์ที่ใช้ในการแก้ไขช่องโหว่ดังกล่าว ซอฟต์แวร์บน Windows ที่ทำงานกับคอนเท็นต์บนอินเทอร์เน็ตมีโอกาสถูกโจมตีได้ทั้งสิ้น ไซแมนเทคแนะนำให้ลูกค้าของบริษัทอัพเดต virus definition ตัวล่าสุด ซึ่งจะมีซิกเนเจอร์ Bloodhound.Exploit.19 ที่ป้องกันการเกิดโอเวอร์โฟลวในฟังก์ชัน LoadImage อย่างไรก็ตาม ในส่วนของช่องโหว่ที่เหลือ ผู้เชี่ยวชาญจากไซแมนเทคแนะนำให้กันไฟล์แนบ (attachments) ที่มีนามสกุล .hlp หลีกเลี่ยงการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ไม่น่าไว้วางใจ หรือเว็บไซต์ใหม่ และอ่านอีเมล์ในฟอร์แมต plain text และไม่ควรเปิดอีเมล์ที่ไม่รู้จักเครื่องพีซีที่รัน Windows NT, Windows 2000 หรือ Windows XP SP1 จะมีช่องโหว่เหล่านี้ แต่ถ้าเป็น SP2 จะได้รับการป้องกันในส่วนของ Image และ ANI แต่ไม่อาจปลอดภัยจากปัญหาของ Help บางส่วน


การบ้านชิ้นที่ 2
-เทคนิคการสร้างงานเว็บกับ Adobe ImageReady CS
-โปรแกรมที่มาพร้อมกับ Adobe Photoshop CS แต่เน้นไปทางการสร้างเว็บเพจก็ต้องโปรแกรมนี้เลย ด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาพอสมควร สำหรับใครที่กำลังสร้างสรรค์งานออกแบบเว็บไซต์อยู่ รับรองว่าโปรแกรมนี้จะช่วยทุ่นแรงคุณได้อย่างมากทีเดียวโปรแกรมที่มาพร้อมกับ Adobe Photoshop CS แต่เน้นไปทางการสร้างเว็บเพจก็ต้องโปรแกรมนี้เลย ด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาพอสมควร สำหรับใครที่กำลังสร้างสรรค์งานออกแบบเว็บไซต์อยู่ รับรองว่าโปรแกรมนี้จะช่วยทุ่นแรงคุณได้อย่างมากทีเดียว โปรแกรม ImageReady CS เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับการสร้างงานเว็บเพจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบนเนอร์, GIF อนิเมชั่น, อิมเมจแมปหรือการหั่นรูปภาพออกเป็นชิ้นส่วนในแบบ Slice เป็นต้น
สร้างแบนเนอร์เอาไว้ใช้งาน มาดูกันว่าหากต้องการสร้างแบนเนอร์ต้องทำอย่างไร ก่อนอื่นต้องเรียกใช้งานโปรแกรม Adobe ImageReady CS โดยการคลิ้กปุ่ม Start > All Programs > Adobe ImageReady CS แล้วทำดังนี้...
1. สร้างเอกสารใหม่ขึ้นมา โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง File > New?
2. จะเห็นหน้าต่าง New Document แล้วไปคลิ้กเลือกรูปแบบเอกสารจากลิสต์บ็อกซ์ Size: โดยไปคลิ้กเลือกเลือกรูปแบบแบนเนอร์ที่โปรแกรมกำหนดมาให้แล้วตามต้องการ แล้วคลิ้กปุ่ม OK
3. จะแสดงหน้าต่างเอกสารแบนเนอร์ว่างๆ ปรากฏขึ้นมา
4. หากต้องการใส่รูปภาพประกอบลงบนแบ็กกราวดน์ลงไป ก็คลิ้กปุ่ม Edit in Photoshop เพื่อไปใส่รูปภาพผ่านโปรแกรม Adobe Photoshop CS หรือหากต้องการเทสีลงไปบนแบ็กกราวนด์ก็ไปคลิ้กเลือกสีที่ต้องการแล้วคลิ้กปุ่ม Paint Bucket Tool เพื่อเทสีไปจาก ImageReady CS ก็ได้
5. หากเลือกไปใส่รูปภาพผ่านโปรแกรม Adobe Photoshop CS ก็จะแสดงหน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS พร้อมเอกสารแบนเนอร์ว่างๆ

6. การใส่รูปภาพก็ให้คลิ้กเปิดรูปภาพขึ้นมา โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง File > Open จะแสดงหน้าต่าง Open เพื่อให้คลิ้กเลือกรูปภาพที่ต้องการ แล้วคลิ้กปุ่ม Open
7. ใช้เครื่องมือ Move Tool ลากรูปภาพที่ต้องการ ไปวางลงบนแบนเนอร์ก็ให้ใส่รูปภาพที่ต้องการลงไป พร้อมปรับแต่งขนาด หรือคลวามเบลอตามต้องการ
8. แล้วคลิ้กปุ่ม Edit in ImageReady เพื่อกลับไปสร้างแบนเนอร์ต่อในโปรแกรม Adobe ImageReady CS
9. จะกลับมายังหน้าต่างโปรแกรม Adobe ImageReady โดยจะแสดงรูปภาพแบ็กกราวนด์ซึ่งเป็นเฟรมแรก เราต้องการให้แสดงแบนเนอร์อย่างเดียว ให้คลิ้กเลือกรายการ Once
10. มาเริ่มสร้างเฟรมถัดไปหากเราต้องการให้แสดงข้อความให้คลิ้กปุ่ม Duplicates current frame จะแสดงเฟรมแอนิเมชันหมายเลข 2 ขึ้นมา (หากไม่แสดงหน้าต่างเลเยอร์ ให้ไปคลิ้กเมนูคำสั่ง Window > Animation)
11. จากนั้นคลิ้กปุ่มเครื่องมือ Type Tool แล้วพิมพ์ข้อความที่ต้องการลงไป
12. ในเฟรมที่ 3 มาใส่รูปภาพลงไปกัน โดยการคลิ้กปุ่ม Duplicates current frame เพื่อก็อปปี้เลเยอร์ก่อนหน้านี้
13. ถ้าต้องการแทรกรูปภาพลงไปให้ไปที่หน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS (ซึ่งตอนนี้เปิดค้างอยู่) หรือคลิ้กปุ่ม Edit in Photoshop ก็ได้ แล้วคลิ้กเมนูคำสั่ง File > Open
14. จากนั้นจะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Open เพื่อให้คลิ้กเลือกรูปภาพ แล้วคลิ้กปุ่ม Open
15. จะแสดงไฟล์รูปภาพที่ต้องการ แบนเนอร์มีความสูงขนาดประมาณ 340 พิกเซล ก็ให้ผู้ใช้งานตัดภาพโดยใช้เมาส์คลิ้กเลือกบริเวณที่ต้องการ แล้วคลิ้กเมนูคำสั่ง Image > Crop
16. พร้อมปรับแต่งขนาดรูปภาพโดยคลิ้กเมนูคำสั่ง Image > Image Size?
17. จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Image Size กำหนดค่าความสูง(Height) ต้องการแล้วคลิ้กปุ่ม OK
18. แต่หากรูปภาพมีขนาดเล็กกว่าแบนเนอร์ก็ไม่ต้องทำอะไร จะแสดงไฟล์รูปภาพที่ต้องการ ให้กดแป้น Ctrl+A แล้วคลิ้กเมนูคำสั่ง Edit > Copy ลงบนรูปภาพที่ต้องการ
19. แล้วไปยังแบนเนอร์ของเรา โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง Edit > Paste แล้วไปก็อปปี้อีกรูปภาพมาวางลงไป จากนั้นปรับแต่งตำแหน่งรูปภาพตามต้องการ

20. แล้วคลิ้กปุ่ม Edit in ImageReady เพื่อกลับไปสร้างแบนเนอร์ต่อในโปรแกรม Adobe ImageReady CS

21. ที่นี้ไปกำหนดการแสดงของภาพในแต่ละเฟรม ซึ่งตอนนี้ทั้ง 3เฟรมจะมีรูปภาพเหมือนกัน
22. โดยให้ไปคลิ้กที่เฟรมหมายเลข 1 ต้องการให้แสดงเฉพาะแบ็กกราวนด์ว่างๆ ให้ไปที่พาเนลเลเยอร์ แล้วคลิ้กยกเลิกไอคอน รูปดวงตา หน้ารูปภาพและข้อความออกไปเพื่อยกเลิกการแสดง
23. จากนั้นไปยังตำแหน่งเฟรมที่ 2 เพื่อกำหนดให้แสดงข้อความ โดยการไปคลิ้กเลือกที่เฟรม 2
24. แล้วคลิ้กช่องไอคอนรูปดวงตาในเลเยอร์ข้อความ จะแสดงข้อความในหน้าต่างพรีวิวทันที
25. ไปเฟรมที่ 3 เพื่อกำหนดให้แสดงข้อความและรูปภาพ โดยการไปคลิ้กเลือกที่เฟรม 3
26. แล้วคลิ้กช่องไอคอนรูปดวงตาในเลเยอร์ข้อความและรูปภาพทั้งหมด จะแสดงผลลัพธ์ในหน้าต่างพรีวิวทันที

27. จากนั้นกำหนดช่วงเวลาในการแสดงในแต่ละเฟรม โดยการคลิ้กกำหนดเวลาใต้เฟรม จากค่า 0 sec. แล้วเลือกเวลาหน่วงที่ต้องการอาจเป็น 1 sec. โดยต้องกำหนดเวลาให้กับทุกเฟรมอาจเท่ากับ หรือแตกต่างกันก็ได้แล้วแต่ความต้องการ

28. จากนั้นทดลองชมแอนิเมชันผ่านทางโปรแกรม ให้คลิ้กปุ่ม Play/stop animation

29. หากต้องการให้แอนิเมชันทำงานวนไปเรื่อยให้คลิ้กเลือกที่รายการ Forever
ทดลองพรีวิวอนิเมชันผ่าน Internet Explorer หลังจากมีการสร้างแอนิเมชันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาทดลองดูการทำงานแอนิเมชันบนเว็บ
30. เมื่อเปิดแอนิเมชันที่ต้องการขึ้นมา ให้คลิ้กเมนูคำสั่ง File > Preview In > iexplore
31. จากนั้นจะแสดงหน้าต่างไออีพร้อมแสดงแอนิเมชัน พร้อมรายละเอียดของไฟล์พร้อมทั้งโค้ดที่ผู้ใช้งานสามารถก็อปปี้ไปใช้งานได้ทันทีโดยต้องมีการอ้างถึงรูปภาพด้วย (จากบรรทัด ) พร้อมก็อปปี้ไฟล์ต้นฉบับไปวางยังโฟลเดอร์ที่ต้องการ
วันเวลาที่สืบค้น วัน พุธ ที่ 11 มิถุนายน 2551 เวลา 23.48



















































































































..............

ผมชื่อ นาย ศุภชัย บุญเกิด

ชื่อเล่น แทน คับ

test1 ส่งบทความ

สนุกดีอะนะ